Skip to main content

เหินฟ้าไปเที่ยวคิวชู ทริปกรุงเทพ — ฟุกุโอกะ ตอนที่ 1

· 3 minute read · Travel Kyushu Trip

นี่คือจุดเรื่มต้นของทริปการไปคิวชูด้วยตนเองตอนที่ 1 ครับ ไปยังฟุกุโอกะได้อย่างไร เตรียมพร้อมอ่านกันได้เลย

แต่ทว่าผมยังมี blog ว่าผมเที่ยวอะไรบ้าง วางแผนการเที่ยวอย่างไร อีกด้วยครับ หากเพื่อนๆ อยากไปเที่ยวเหมือนผมบ้าง ก็สามารถเข้าไปดูได้ ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ

เตรียมเหินฟ้า

เรื่มจากว่า ผมได้จองเครื่องบิน TG648 จากกรุงเทพ (สุวรรณภูมิ) บินตรง 6 ชั่วโมง กว่าๆ ไปยังจังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ก็ได้บินซะตอนประมาณตีหนึ่ง ถือว่ามีเวลาไปนอนเล่น นั่งเล่นใน lounge นานซะเหลือเกิน นั่งง่วงไปสิครับ รออะไร

เกทที่ผมต้องไปขึ้น ก็จะเป็นตัว C2 เนี่ยแหละครับ แต่มีพ่วงตัวอักษร A ด้วย ว้าว!!! มันจะต้องน่าตื่นเต้นแน่ๆ เลย บอกเลยว่าไม่สนุกครับ เพราะว่ามันก็จะไม่ได้จอดที่งวงช้างเหมือนไปเที่ยวเฟี้ยวๆ รวยๆ เหมือนใครเค้า แต่ก็จะต้องไปขึ้นรถเมล์อันเล็กๆ ที่จะภาเราไปหลุมจอดเครื่องบินภายนอกนั่นเอง (ถ้าเพื่อนๆ คิดถึงบางเจ้าที่ดอนเมือง ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันอ่ะครับ อารมณ์เดียวกันเลย แต่อันนี้แค่สายการบินไทย TG)

หน้าเกท C2A ตัวเกทก็ต้องลงไป 1 ชั้น ไปรอของจริงครับ

ส่วนตัวแล้ว ผมก็จะไปขโมยกินอาหารใน lounge ของการบินไทย ซึ่งจะเป็นอันเก่าหน่อย สำหรับพวกที่มีบัตรเครดิต แต่ไม่มีตังไปซื้อ business class กับเค้า ที่เค้าจะมี lounge พิเศษตรงเกท A นะครับ อันนี้บอกไว้ก่อน ว่าก็มีอาหารไม่แพ้กันเลย น่าสนใจมากกว่าเยอะแยะเลยครับ แล้วพวกเบียร์ หรือพวกของมึนเมาก็มีบริการด้วยครับ

ภาพส่วนหนึ่งของอาหารใน lounge ครับ
และนี่ก็เป็นเครื่องดื่มฟรีเฉพาะลูกค้าเลาวนจ์การบินไทยครับ
อันนี้เป็นภายใน lounge สังเกตดีๆ ก็คือหน้าเกท C2A ที่ผมจะไปขึ้นเนี่ยแหละ

แล้วพอนั่งว่างๆ นั้น ทำให้เรารู้สึกเบื่อจนเกินไป ทำให้ต้องไปยัง King Power เพื่อไปเดินเที่ยวเล่น หาของอะไรน่าสนใจ ซื้อติดตัวไปเที่ยวด้วย ก็ได้ไปสะเอะตากับกล้อง Canon รุ่น M50 ครับ แล้วก็ตัดสินใจที่จะซื้อครับ เพราะตัวเองก็อยากที่จะลองเล่นตัวนี้อยู่แล้ว และก็พอดีกับว่าไปเที่ยวและไม่อยากไปซื้อที่นู่นด้วยครับ เผื่อมีปัญหาจะได้เคลียร์กันง่ายๆ หน่อย

แล้วลองเปิดขื้นมา ก็ได้รู้ว่าแบตนั้นหมดครับ อ่าว อดเล่นไปอีก ก็เลยต้องหาที่ชาร์จที่เค้าให้ติดกับกล่องมา เพื่อชาร์จแบตเนี่ยแหละครับ ถ้าเพื่อนๆ อยากได้รีวิวของกล้องตัวนี้ก็สามารถทักมาบอกกันได้นะครับ เผื่อผมจะทำในอนาคตนั่นเอง

ข้ามเรื่องกลับมาอันเดิมครับ พอได้เวลาที่จะขึ้นเครื่อง ก็ไปตรวจอะไรตามปกติครับ แล้วก็พอเดินเข้าไปก็ต้องเดินลงไปยังข้างล่าง ที่มีรถเมล์อยู่ครับ แล้วก็ขึ้นไปอย่างงั้นอ่ะครับ ยืนยาวๆ ไป เพราะมันก็ดูเหมือนกับว่าจะอยู่ไกลตัว terminal ซะหน่อย พอรถเมล์ (ที่ต้องยืนอย่างเดียว) มาจอดข้างๆ เครื่องบินแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องครับ ตัวเครื่องก็จะดูเก่าหน่อย ข้างในก็เก่าเช่นกัน พนักงานต้อนรับก็เก่าเช่นกันครับ พูดเลยไม่น่าจะมีอะไรใหม่เท่าไหร่ นอกจากอาหาร 3 ชุดครับ

ในตัวเครื่อง (ภาพด้านขวา) ก็จะเห็นว่าดูเก่าจริงๆนั่นแหละครับ แต่ก็ยังใช้งานได้อยู่นะ ส่วนภาพภายนอกตัวเครื่อง (ภาพด้านซ้าย) ถ่ายให้ดูเฉยๆครับ สวยดี

ในการบินครั้งนี้ คนไทยเยอะอยู่เหมือนกันครับ ณ ขณะนี้ ผมก็ยังสงสัยอยู่ ว่าทำไมคนไปเที่ยวคีวชูเยอะกันจัง งานเทศการอะไรก็ไม่มี ส่วนใหญ่ คนที่ขึ้นจะเป็นคนญี่ปุ่นที่เป็นคนทำงานครับ แล้วก็มีพวกคนแถบประเทศอินเดียวด้วย ลักษณะมันบอกจริงๆครับ ว่าไม่ใช่คนไทย

ส่วนอาหาร ทางการบินไทยก็ไม่ได้แพ้ใครครับ โชคร้ายว่าไปโดนอาหารที่เลาวนจ์ไปแล้ว ก็เลยไม่ได้สั่งอะไรเพื่มนะครับ ก็มีพวกนี้ครับ

ภาพด้านซ้าย ได้ตอนขึ้นเครื่องครับ ส่วนด้านขวา รู้สึกว่าจะให้มาตอนเช้าๆ ครับ ซัก
6 โมงเห็นจะได้

ก็เป็นอาหารปกติอ่ะครับ เอาจริงๆ ไม่อร่อยด้วย เพราะก็อาหารบนเครื่องอ่ะครับ งั้นก็นอนรอเครื่องลงเลยดีกว่าครับ โดยรวมถือว่านอนหลับสนิทดีมาก ไม่มีคนนั่งข้างผมด้วย ก็เอาขาพาดเลยครับ นอนอย่างกับตัวเองอยู่บ้่าน :D (ความจริงก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกครับ เพราะมันค่อนข้างเบียดด้วย นอนแบบนั้นมันดีกว่าเยอะครับ ผมแนะนำ

ภาพตอนเครื่องลง อยากถ่ายมาก มีความรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากดอนเมืองเลย แต้ด้วยที่มันเป็นความต่างประเทศ ก็เฟี้ยวหมดแหละครับ

การเดินทาง ก็ไปลงแลนดิ้งตอนประมาณ 8 โมงกว่าจริงๆ ทำอะไรนู่นนี่ ก็ปิดจ้อบการขื้นเครื่องซะ 9 โมงครึ่ง ก็ต้องพูดเลยว่า เร็วกว่าไทยเยอะ lol

เกทผู้โดยสารขาเข้า สนามบิน Hakata จังหวัดฟุกุโอกะ

ออกมาจากเทอร์มินัลทางเข้า ก็ได้เวลาเปิดอินเตอร์เน็ตที่เราซื้อมา แล้วก็หาวิธีไปยังจังหวัดนางะซะกิกันได้แล้ว แล้วจะไปยังไงหล่ะ เออ

ก็ได้คำแนะนำจากคุณพี่คนไทย เค้าน่าจะมาเที่ยวบ่อยอ่ะครับ เพราะว่าเช่ารถเที่ยวด้วย แล้วก็รู้เรื่องการเที่ยวด้วยตนเองอีกตังหาก

สึ่งที่ได้เรียนรู้คือ คนไทยก็พร้อมที่จะช่วยหมดแหละครับ คือพยายามช่วยจริงๆ แต่ก็จะพยายามเอาตัวออกไปจากคนที่ต้องการความช่วยเหลือด้วย (งงหล่ะสินะ) คือพี่คนนี้ก็บอกว่าให้ไปนู่นไปนี่ แต่พอตอบเสร็จ พี่เค้าก็รีบออกจากสถานที่เลย ไม่ให้ผมจะเออ ไปถามอีก อะไรแบบนี้เป็นต้น

เข้าเรื่องแล้วนะครับ พี่เค้าก็ได้บอกมาว่า รถไฟจากสถานนีสนามบิน ไปยังสถานนีรถไฟ Hakata ซึ่งเราต้องนั่งไป เพื่อจะไปที่อื่นอีกมากมาย ต้องนั่งไปยังเทอร์มินัลของ Domestics เราก็ อ่าวววว ยากไปอีก 10 เท่าตัว เราก็นึกว่านี่คือสุดท้ายของเค้าแล้ว เราก็เลยเดินไปหน้าเทอร์มินัล เพื่อไปรอรถเมล์ไปยังอีกเทอร์มินัลนึง

เราก็เลยได้เห็นว่า มีนักท่องเที่ยวเกาหลีเยอะมาก แล้วก็ไปต่อคิวเข้าอีกรถบัสนึง ซึ่งอันนี้เค้าเขียนว่า จะไปจอดที่สถานนี Hakata เลย จากที่เราไปยืนโง่ๆอยู่คนเดียว รอรถบัสเพื่อไปอีกต่อ เพื่อจะอีกต่อ เราก็เลยคิดว่า น่าจะตามพวกเขาไปดีกว่า อย่างน้อยพูดภาษาอังกฤษไป เค้าก็ยังจะช่วยได้วะ lol

ภาพตอนกำลังขึ้นรถเมล์ ต้องขึ้นก่อน แล้วค่อยไปจ่ายที่ปลายทางที่จะลงครับ ซึ่งก็จะไปจ่ายหน้ารถเมล์

ถ้าเพื่อนๆจะไปเอง ก็ให้รอรถเบอร์ 2 ที่เขียนว่าปลายทางคือ Hakata Station ครับ รถอยู่ซ้ายมือ ถ้าไม่รู้ ก็ให้มองหาผู้หญิงเกาหลีที่ยืนรออยู่เยอะๆครับ มองเห็นง่ายเลยจริงๆ

บรรยากาศเหมือนฝนจะตกตลอดเวลาครับ แต่เอาจริงๆนะ แดดก็ไม่มี ลมก็แรง โคตรชอบเลยครับ ถ้าเพื่อนๆ ชอบอากาศแบบก่อนฝนตก 1 โมงกว่าๆ ตลอดเวลา ให้ไปเที่ยวตอนเดือนมิถุนาครับ ยึ่งต้นเดือนยื่งดีครับ

ด้านหลังของสถานี Hakata ก็จะเห็นได้ว่า ขั้น 2 และ 3 เป็นกระจกครับ ชินคันเซนจอดอยู่นี่เอง

โดยแถวสถานนีก็มีของขายครับ อารมณ์เหมือนรถไฟฟ้าประเทศไทยอ่ะครับ แต่แค่เป็นร้านอยู่ในตึกข้างทาง ส่วนผม ที่ซื้อกล้องมาหมาดๆ (หมาดๆ จริงๆ) ก็อยากที่จะไปดูของดีใน Yodabashi ที่อยู่ใกล้กับสถานีไมกี่บล็อคนี่เอง ส่วนร้านอื่นๆ ไม่น่าจะอยู่ในแถบนี้นะครับ จะไปอยู่ในแถบช้อบปิ้งแทน

ไปซื้อ Rail Pass บัตรเทพที่เปย์ให้

สำหรับเพื่อนๆที่จะไปเปลี่ยนจังหวัด มันก็ต้องซื้อนะครับ ไอตัวบัตรใบนี้ (ผมเอาของผมมาให้ดูด้านในไม่ได้ เพราะมีข้อมูลอันเป็นความลับ) ก็ทำให้คุณไปไหนก็ได้ ที่เป็นบริการของ JR เพื่อจะไปขึ้นรถไฟได้ฟรีครับ สำหรับเพื่อนๆที่บอกว่า ไม่ต้องซื้อก็ได้ อันนี้ผมได้อธิบายการคำนวณง่ายๆไว้แล้วใน blog เตรียมตัวไปเที่ยวนะครับ

ขั้นตอนการซื้อ Kyushu Pass ที่สถานี Hakata

จากภาพด้านบนครับ ด้านซ้ายสุดจะเป็นช่องซื้อ Pass พิเศษเลย ไม่ใช่ช่องจำหน่ายทั่วไป (ภาพด้านขวาสุด) ถ้าต่อคิวไป เค้าก็จะไล่ให้ไปซื้อด้านซ้ายเนี่ยแหละครับ ทำไมผมรู้เหรอ ก็โง่มาแล้วไง

ส่วนภาพตรงกลาง เอาไว้สำหรับการจองที่ครับ จะจองอะไรก็ให้บอกเจ้าหน้าที่ช่อง Kyushu Pass ครับ แต่มันก็ต้องจองล่วงหน้าหน่อยนะ เพราะเค้าถือว่าจองจริงๆ ไม่ได้มาแบบ หน้างานแล้วมาจอง อะไรแบบนี้

ก็จ่ายตังไป อะไรปกติ (ที่นี่รับบัตรเครดติตนะครับ บอกไว้ก่อน) แล้วก็ขื้นอะไรก็ขึ้นครับ แค่ตอนเข้าไปในเกท (เหมือน BTS อ่ะครับ) ก็ให้เข้าช่องเปิดประดูด้วยคนตรวจตั๋ว ไม่ใช่แบบอัตโนมัติครับ แค่นี้ก็ได้เข้าไปแล้วครับ อยากนั่งอันไหน นั่งไปเลย

บรรยากาศภายในตัวอาคารรถไฟต่างเมืองครับ (ถ้าในเมือง ที่นี่จะใช้รถไฟใต้ดินครับ)

แต่เราก็ต้องเคารพกฎของคนญี่ปุ่นเค้าหน่อยนะครับ โดยที่รถไฟ 1 คัน มีโบกี้อยู่เยอะมาก แต่จะแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่มครับ

โบกี้รถไฟ แบบ Business Class (Green Car)

  1. **แบบ Business Class (หรือ Green Car) **(ตามภาพด้านบน) ก็จะต้องจองเท่านั้น Rail Pass ไม่ได้นั่งนะครับ แล้วต้องจ่ายตังเพื่มเองด้วย ตัวโบกี้ประเภทนี้ จะอยู่หน้าขบวนครับ ที่นั่งจะมีขนาดใหญ่กว่า และก็สามารถอะไรได้หลายๆ อย่างอีกมากมายครับ

  2. แบบ Reserved ก็จะเป็นที่นั่งสำหรับ คนที่จองแล้วเท่านั้น ซึ่งเราก็สามารถเอา Pass ไปจองได้นะครับ ก็จะได้ตั๋วจองที่นั่งมา 1 อัน แล้วเราก็จะได้ที่นั่งแน่นอน 100% ไม่ต้องแย่งกับใคร ตัวโบกี้ที่แบบนี้อยู่ จะอยู่ตรงกลางขบวนครับ

  3. แบบ Non-Reserved ก็จะเป็นที่นั่ง โดยก็จะต้องไปแย่งกันเอง ใครมาก่อน ได้นั่งก่อน บางทีเห็นในอินเตอร์เน็ต บอกว่าต้องยืนไปต่างเมืองเลยด้วยซ้ำ น่ากลัวเหมือนกันนะครับเนี่ย ตัวโบกี้ที่แบบนี้อยู่ จะอยู่ตรงปลายขบวนครับ

โดยที่แบบที่ 2 กับ 3 ก็จะเป็นโบกี้ธรรมดาเหมือนกัน แค่จองกับไม่จอง แต่ Business Class อันนี้คืออย่างกะโรงแรมอ่ะครับ เลยไม่ได้แปลกใจอะไรว่านักท่องเที่ยวอยากไปนั่งอันนั้น เพราะบอกว่ามันนั่งฟรีไปหมด

สำหรับเบอร์โบกี้ที่เป็นแบบไหน มีอยู่ในสมุดตารางการเดินทางครับ

ขึ้นรถไฟไปนะงะซะกิ

รถไฟคันที่จะพาเราเดินทางไปวันนี้นั่นก็คือ รถไฟสาย Kamome นั่นเองครับ โดยเรียกว่าเป็น Limited Express Train เพราะว่าตัวมันเองมันเร็วมากครับ และก็มีตามที่เค้า schedule ไว้ในคู่มือการเดินรถไฟเลยครับ ไม่มีมาเพื่มจากในตารางแน่นอน ทำให้เพื่อนๆ ที่อยากจะไปก็ต้องวางแผนเวลากันให้ดีๆ นะครับ เพราะมันก็ไม่มีมาเรื่อยๆ จริงๆ

ส่วนถามว่าผมได้ซื้อ pass แล้วได้นั่งแน่นอนมั้ย ก็บอกว่าไม่ครับ เพราะมันก็กระชั้นชิดมากไป จองไม่ได้ครับ เลยต้องไปนั่งในบริเวณ Non-reserved Seat แทน โชคดีที่ว่ายังมีที่นั่งติดกระจกอยู่ สำหรับกระเป๋าเดินทางอันใหญ่ๆ ก็จะมีที่วางให้พิเศษครับ จะได้นั่งกันอย่างสบายใจ ยาวๆไป 2 ชั่วโมง

เนื่องจากว่ารถไฟเป็นคนเค้านั่งทำงาน ก็เลยห้ามคุยโทรศัพท์ และก็ห้ามสูบบุหรี่ในโบกี้ครับ ในญี่ปุ่นเค้าจริงจังเรื่องนี้มากครับ เรื่องรบกวนคนอื่นเนี่ย

ผมเลยต้องซน ออกไปดูเล่นซะแล้ว ว่าแต่ละโบกี้มีอะไรบ้าง

ก็ได้ไปเห็นบริเวณโบกี้ของตัวเอง ที่เค้าตัดออกมาเป็นที่ยืนแปลกๆ เพิ่งรู้นะครับ ว่าห้องนั้นคือห้องคุยโทรศัพท์ ก็จะมีโต๊ะเอาไว้พิงแขน แล้วก็มีตู้น้ำอันเล็กๆ อีก 1 อัน (ตามภาพด้านบน ขวา) ก็จัดไปในของที่ตัวเองไม่เคยกินมาก่อนครับ

นั่นก็คือชารสพีช!!!

มันคืออะไรวะเนี่ย ทำไมคนญี่ปุ่นมันมีน้ำแบบนี้เกลื่อนตลาดเลย ก็ได้เวลามาทดสอบแล้วครับ ว่าผ่านมั้ย

ชารสพีช และธรรมชาติข้างทางรถไฟ

ก็บอกเลยว่า WHATTT ?!?! มันเหมือนพีชอ่ะครับ เปรี้ยวๆ หวานๆ เราก็ เออออ มันก็คล้ายๆกับไอเดียที่เราเอาพวกส้มมาใส่ขวดเลย

ก็เอาไป 4 เต็ม 5 แล้วกันครับ หักแค่รู้สึกว่ามันหวานแล้วเหนียวคอไปหน่อย

พอไปถึงสถานนี นางะซะกิแล้วผมทำอะไรต่อ รอติดตามใน blog อันต่อไปครับ

ถ้าเพื่อนๆ ถูกใจ ก็สามารถกด Follow และกดปรมมือเพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ;)