Skip to main content

ByteSide.one กับปีแรกแห่งการบุกเบิกและล้มเหลว

· 2 minute read · ByteSide.one reflect SEO
Kunanon Srisuntiroj

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมก็ได้ทำการก่อตั้งเว็บไซต์ที่ตั้งใจจะเป็นเหมือน Blog ในนาม “The Sunny Side” ที่ได้เติบโตมาจากการเขียนเล่นแต่ผลตอบรับดีใน Medium.com เพื่อโอกาสและความยืดหยุ่นที่เราต้องการ และในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลอดสี่เดือนที่ได้มีการรีแบรนด์เว็บไซต์และเปลี่ยนทิศทางในการเขียนอย่างเป็นนัยอย่าง “ByteSide.one” พร้อมกับวันนี้ที่มีผู้เข้าชมเว็บไซต์สะสมครึ่งแสน และ Total Impressions ภายใน Google Search Console ใกล้แตะ 500,000 ครั้งเข้าไปแล้ว

โดยในสตอรีนี้ผมก็จะมาแชร์ประสบการณ์การเขียนเรื่องราวบนเว็บไซต์ ByteSide ในปี 2021 ให้เพื่อน ๆ ได้เอาไปใช้เป็นกรณีศึกษาและเป็นที่ระลึก และหวังว่าจะได้เขียนสตอรีประเภทนี้อีกครั้งในปีหน้าที่กำลังจะถึงนี้ครับ

จากการเขียนที่ต้องการสนับสนุนให้เพื่อน ๆ ที่เข้ามาใช้แอพอย่าง Telegram ในสตอรี มาใช้ Telegram ภาษาไทยกันเถอะ ที่ก็คิดว่าจะไม่มีใครเข้ามาอ่านเสียเท่าไหร่หรอก เพราะการใช้ Telegram ในปี 2019 นั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ และยังไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากคู่แข่งที่ไม่รู้ว่าจะให้เปลี่ยนมาเป็น Telegram มาทำไม

และวันหนึ่งก็ได้มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมได้ตัดสินใจย้ายจากบ้านเดิมที่เขียนสตอรีไว้ นั่นก็คือ Medium.com มาเป็น WordPress ของตัวเองก็คือเหตุการณ์ช่วงที่กลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่ และทำการเลือกใช้แอพอย่าง Telegram ไปเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารหลักแทนเพจเฟสบุ๊คที่อาจถูกปิดตัวจากฝ่ายตรงข้ามได้ เลยทำให้ในวันนั้นที่ไม่มีสตอรีเกี่ยวกับ Telegram กลายมาเป็นว่ามีแต่เนื้อหาของผมเท่านั้นที่พารู้จักกับ Telegram ในภาษาไทย

และในสัปดาห์นั้นสตอรีของผมก็มียอดวิวสะสมแตะ 30,000 ครั้ง แต่ก็สุดท้ายก็ต้องยอมโดนขโมยซีนตำแหน่ง Google อันดับหนึ่งโดยพวกสำนักข่าวที่เขียนได้ตรงประเด็นเรื่องของ Telegram มากกว่า

Medium.com พ่นพิษ SEO

เรื่องดีหนึ่งที่ Medium มีก็คือเรื่องของแพลตฟอร์มที่ให้เพื่อน ๆ หรือใครก็ตามแต่นั้นสามารถเขียนสตอรีหรือบอกเล่าเรื่องราวใด ๆ ก็ได้ และนั่นก็รวมไปถึงผมเอง แต่ปัญหาหลักที่ผมเอง (และก็น่าจะกับผู้ใช้งานอื่น) ได้พบเจอก็คือเรื่องของการอยากโยนไปเปิดในแอพฯ ของตัว Medium เอง ซึ่งผมเองในหลาย ๆ ครั้งก็กดออกเพราะไม่ต้องการดาวน์โหลดแอพฯ หรือเปิดผ่านแอพฯ ซึ่งนั่นส่งสัญญาณด้านลบอย่างเต็มเปาให้กับสตอรีของผมกับ Google Index ทันที แล้วสุดท้ายสตอรีที่โดดเด่นเมื่อก่อน พอเจอลักษณะการทำงานของ Medium ที่มีลักษณะนี้ ก็ทำให้ยอดวิวตุ๊บทั้งตารางและกลายเป็นเว็บร้างได้ภายในไม่กี่วัน

และอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือการสร้างรายได้และโปรไฟล์ของผมเอง ที่ Medium นั้นไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมกับคนไทยที่ใช้งาน Facebook เป็นส่วนใหญ่อยู่แล้วอีกด้วย เลยทำให้ผมต้องออกมา Export เนื้อหาทั้งหมดใน Medium ทั้งหมด และออกมาสร้างเว็บไซต์ด้วย WordPress ในไอคอนเดิม "The Sunny Side" ในโดเมนย่อยของโดเมนส่วนตัวของผมอย่าง blog.sagelga.com (ซึ่งปัจจุบันก็จะถูกนำไปเป็นเนื้อหาในลักษณะ Blog อย่างเต็มตัวจริง ๆ รอติดตามกันได้นะครับ)

ดีดตัวเองออกมาเป็นแบรนด์ ByteSide.one

หลังจากที่ได้เข้ามาทำเป็น The Sunny Side อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ก็ได้เรียนรู้การใช้งาน WordPress ตั้งแต่หน้าแรกยันสามารถใช้งานฟีเจอร์หลักและสร้างความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการให้บริการรูปด้วย AWS S3 + AWS CloudFront ได้อย่างเต็มที่

แล้วก็กลายมาเป็นว่าการใช้งาน blog.sagelga.com หรือก็คือ Sub Domain นั้นไม่สามารถสร้างรายได้จากการใช้ Google Adsense ได้เลย จะต้องลงทะเบียน Root Domain เท่านั้น และนั่นแหละครับเพิ่งคิดออก แต่ก็คิอย้ายทุกอย่างมาหมดแล้ว รวมไปถึงลิงก์เดิมและการ Redirect ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็คือต้องกลับมา Migrate อีกครั้งภายใต้ชื่อโดเมนใหม่ ถึงจะสามารถสร้างรายได้และจ่ายค่าเซิฟเวอร์ของเว็บไซต์ตัวเองได้เสียที

สวัสดี Byteside.one

เป็นธรรมดาที่หากใครกำลังหาชื่ออะไรที่มันต้องจำง่ายและสามารถจดซื้อโดเมนได้นั้นต้องใช้ความ creative อย่างมากในการหาชื่อที่ดี ซึ่งผมก็เป็นเช่นกันครับ นั่งหาแรงบันดาลใจว่าโดเมนของเรานั้นจะชื่อว่าอะไรดี ถามเพื่อนที่ทำเว็บไซต์พวกนี้เหมือนกันก็ลองให้หาคำอะไรแปลก ๆ แล้วก็ลองดูชื่อเอาว่ามันจำได้ง่ายหรือไม่ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ออกมาแม้แต่เพียงชื่อเดียว

อยากจะใช้อันเดิม แต่ก็น่าเสียดายเป็นอย่างมากเลยที่ The Sunny Side นั้นเป็นชื่อโดเมนที่โหลเกิน มีคนจดโดเมนเอาไว้เยอะมาก ๆ ทั้ง .com .org อะไรก็มีเต็มไปหมด ทำให้ก็ต้องมานั่งคิดว่าเราจะต้องแหวกออกจากชื่อเติมที่คิดเอาไว้ให้ได้ แล้วก็ YOLO ข้ามไปใช้โดเมนนั้นอย่างภาคภูมิใจในที่สุด

เป้าหมายของผมก็คือการตั้งชื่อเว็บไซต์ที่จะต้องโดดเด่นและใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่สามารถพิมพ์บนคีย์บอร์ดด้วยมือซ้ายให้ได้ น่าสนใจไหมหล่ะครับ? และซักพักผมก็ได้อ่านข่าวเทคโนโลยีที่ถูกตั้งตามองอย่างบริษัทเจ้าของแอพชื่อดัง "TikTok" อย่าง ByteDance และนั่นก็เป็นไอเดียที่ผมได้เอามาใช้เพื่อตั้งชื่อใหม่เพื่อให้เข้าคอนเซ็ปต์เดิมของ The Sunny Side อย่าง ByteSide

แม้ว่า ByteSide.com (ไม่ใช่โดเมนของผมนะ) นั้นจะถูกเอาไปเป็นเจ้าของแล้ว แต่ตัวผมเองก็คือลืมที่จะไปสำรวจก่อนว่าเป็นเว็บเกี่ยวกับอะไร ก็เลยทำการสมัคร (ซื้อ) โดเมนด้วย .one แทน .com เพื่อให้มันแตกต่าง แต่ก็น่าจะเพียงพอต่อการใช้งานและเพื่อการบอกกับคนอื่นว่าเรามีโดเมนของตัวเองด้วย

คอนเซ็ปต์ของ ByteSide.one

ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นช่วงเวลาที่ผมเองนั้นก็ได้เครี่องเล่น PlayStation 5 เพื่อมาจุนเจือเครื่องเล่นเกมในสถานการณ์ GPU ขาดตลาดพอดิบพอดี และก็มีเกมหนึ่งที่สามารถเล่นบน PlayStation น่าจะได้ดีเลยก็คือ Genshin Impact

ผมรู้จัก Genshin Impact ได้อย่างไรหน่ะเหรอ? ก็จากการตลาดว่ารองรับ PlayStation 5 เต็มรูปแบบนั่นแหละครับ ก็เลยต้องเข้าไปแวะดูหน่อยว่าเกมนี้มันคือเกมอะไร แล้วน่าเอามาเป็นสตอรีเล็ก ๆ ภายในเว็บไซต์ใหม่ของ ByteSide หรือไม่ สุดท้ายเกมนี้มันก็ทำให้ผมนั้นสามารถเขียนสตอรีได้มากมาย แบบสามารถต่อคิวรายวันกันได้เลยหล่ะครับ

ทำให้คอนเซ็ปต์ของ ByteSide ที่จากเดิมผมมองว่าจะเอาไว้เขียนเรื่องต่าง ๆ ที่อาจะเป็นประเด็นทางสังคม ปรับเปลี่ยนใหม่ออกมาเป็นการเพิ่มยอดวิวและ Impresssions ใน Google Search Index ตามคคอนเท้นต์ที่เราจะสามารถผลิตได้ สร้างได้มากแค่ไหนมันก็แค่นั้น แต่เว็บไซต์ของฉันต้องไปอยู่อันดับหนึ่งใน Google Search Index ให้ได้ และผมคิดแค่นั้นเลย มีคนดูเยอะเดี๋ยวก็จะอยู่รอดเอง

กระเสือกกระสนเพื่ออยู่รอดไปวัน ๆ

จริง ๆ ในวันนี้ผมก็คิดว่ามันมีจุดสิ้นสุดอยู่ก็แค่นี้แหละครับสำหรับการเริ่มเปิดเว็บไซต์ให้มีคนอ่าน แต่สิ่งที่ทำให้ผมเป็นกังวลมากที่สุดก็คือลูกค้าฟรีที่เข้ามาป้วนเปี้ยนแล้วก็ไม่ได้ให้อะไรกับแบรนด์หรือใด ๆ ทั้งสิ้นเลย ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงคนที่ไม่ดูโฆษณาบนเว็บไซต์เลย

ยังมีผู้ใช้งานหลายคนเลือกที่จะปิดการชมโฆษณาเพื่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่สูงขึ้น (และน่าจะเป็นส่วนน้อยจริง ๆ ที่ต้องการปกปิดความเป็นส่วนตัวจริง ๆ) แล้วอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้แย่ลงกว่าเดิมเข้าไปอีกก็คือตัว Web Browser นั้นทำหน้าที่นี้ให้โดยอัตโนมัติเสียด้วย กลายเป็นว่าปัจจุบันนั้นผมได้รับเงินจากโฆษณาอย่างเดียวในหนึ่งวันนั้นน้อยมาก ที่ขนาดว่าค่าเซิฟเวอร์ที่ว่าน้อยแล้ว ค่าโฆษณานั้นยิ่งแย่กว่าอีกครับ ไม่ต้องพูดถึงเงินที่มันจะเข้ากระเป๋าผมเลยครับ มันไม่เข้าเลยซักนิด

ทำให้ผมต้องปรับแผนอยู่เรื่อย ๆ เช่นการปรับคอนเท้นท์ที่พัฒนาให้อ่านและเข้าใจง่ายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉันจะต้องเป็นอันดับหนึ่งใน Google Search Index เท่านั้น อีกทั้งเรื่องของการโหลดหน้าเว็บนั้นมีการถูก Cache เอาไว้พร้อมกับการป้องกันทราฟฟิกจากการถูก DDOS ด้วยการใช้ CloudFlare และอีกมากมายเพื่อหวังว่าจะมีผู้ใช้งานเข้ามาชมเว็บไซต์ของเราและกดโฆษณาหรือลิงก์สนับสนุนของเว็บไซต์ตัวเอง หากใครมีคำแนะนำในการจัดการเรื่องรายได้ผ่านช่องทางนี้ที่ต้องการแชร์ประสปการณ์ก็สามารถติดต่อหรือแอบมายิงโฆษณาบนหน้า Facebook ผมได้เลยครับ :D

ปี 2022 ที่กำลังก้าวหน้า

เราเว็บไซต์ ByteSide .one ก็กำลังเข้าไปสู่ยุคปีที่มีการเปลี่ยนแปลงและความพัฒนาในลักษณะการเสพสื่อและคอนเท้นท์ที่ไปในทิศทางที่เป็นไปตามโลกาภิวัฒน์และเราก็ยินดีมาก ๆ ที่เราก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดในปี 2022 เช่นกัน แต่เราจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างก็ต้องติดตามชมแล้วกันครับ