Skip to main content

เที่ยวต่อที่คีวชูกับจังหวัดนะงะซะกิ วันที่ 1 ชุมชนคนจีน Chinatown

· 4 minute read · Travel Kyushu Trip

วันแรกของการเดินทางคนเดียวในนะงะซะกิจะเป็นยังไง ใน story นี้ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ และถ้าเพื่อนๆ ยังไม่ได้เข้าไปอ่าน post ที่แล้วว่าผมมานะงะซะกิยังไง อย่าลืมไปอ่านด้วยนะ ลิ้งค์เพื่อไปอ่านอยู่ด้านล่างครับ

[รีวิว] เที่ยวเกาะคิวชู 10 วัน 9 คืน ละเอียดเว่อร์

และเราก็มาเรื่มกันเลย การเที่ยวในจังหวัดนะงะซะกิ

ถึงสถานีนะงะซะกิ

ป้ายสถานี Nagasaki โดยเพื่อนๆ จะสังเกตได้ว่ามีภาพประกอบสถานีด้วย

จากสถานี Hakata ก็ได้นั่งรถไฟ Kamome สีขาวสุดหรูมาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้ถึงสถานีปลายทางซักทีนึง โดยสถานีก็ไม่ได้ดูใหม่ซะเท่าไหร่ อารมณ์เหมือนสถานีรถไฟไทยบ้านเรา แต่พอออกมานอกสถานีก็ได้เห็นความใหญ่ของห้างที่ติดกับสถานีเลย (คิดว่าก็น่าจะเป็นของ JR เอง)​ ดูเหมือนว่าจะเป็นสถานีขนาดใหญ่ที่สุดของจังหวัดนี้เลยทีเดียว

รถไฟ Kamome ซึ่งจะวี่งระหว่างสถานี Nagasaki และ Hakata

โดยตอนที่จะออกจากสถานีนั้น เพื่อนๆที่ใช้ Kyushu Pass หรือ Pass ต่างๆ ของ JR ก็สามารถไปออกที่เกทที่มีเจ้าหน้าที่เปิดให้นะครับ ไม่ต้องไปใช้เกทแบบอัตโนมัติ ถ้าเพื่อนๆดูไม่ออก เค้าก็มีป้ายบอกว่าให้ใช้ Kyushu Pass ที่ไหนนะครับ แค่แสดงให้เค้าดูก็เพียงพอแล้วครับ ไม่ต้องตรวจอะไรมาก

เมื่อออกมาแล้ว เพื่อนๆจะเห็น Tourist Information โดยเพื่อนๆสามารถไปซื้อ One Day Pass ได้นะครับ เพื่อเป็นการนั่ง Tram แบบไม่อั้น ราคาน่าจะ 600 เยนมั้งครับ (จากการคำนวณค่าขึ้น Tram ก็ต้องใช้ 4 ครั้งเป็นอย่างน้อยเพื่อให้คุ้มทุน) โดยก็จะนั่ง Tram ในเมืองได้ทุกสาย และทุกระยะทางครับ เพราะที่นี่คิดค่า Tram เป็นจำนวนครั้งครับ ราคาเท่ากันทั้งหมด ไม่เกี่ยวอะไรกับระยะทางครับ เหมาๆ ไปเลย

เนื่องจากว่าผมมีกระเป๋าเดินทางอันใหญ่โต และภาระของที่อยากที่จะเอาไปเก็บอีกเยอะแยะ ผมเลยตั้งใจที่จะไปฝากของที่โรงแรม โดยจะเลือกว่าจะใช้อะไรระหว่าง Taxi ราคาน่าจะเฉียด 1,000 เยน หรือ Tram ที่โคตรถูก แค่ 150 เยนเท่านั้นเอง

ก็ต้องเลือก Tram สิครับ อิอิ แต่ก็ต้องแลกกับว่าไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับสาย Tram เลย เป็นประสบการณ์ที่หวาดเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะว่าก็ไม่ได้ทำการบ้านเรื่องนี้มา แต่ก็เลือกที่จะไปลองป้ายดู แล้วก็ให้ความหวังว่าตัวเองจะขึ้นรถ Tram ถูกสายเท่านั้นเอง

หน้าสถานี นะงะ�ซะกิ ของบริษัท JR

นั่งรถ Tram เข้าเมือง

โดยในเมืองของ Nagasaki จะมีรถรางที่วิ่งบนถนน (หรือภาษาอังกฤษ่เรียกว่า Tram)​ ซึ่งจะมีการแบ่งเส้นทางกันอยู่ 4 เส้นทาง โดยมีสีแยกเส้นการเดินทางครับ ตามรูปด้านล่างเลย

ภาพประกอบจาก japan-guide.com

โดยเพื่อนๆ จะเรื่มจากสถานี Nagasakieki-mae โดยเป็นสถานี Tram ที่อยู่ข้างๆ สถานีรถไฟหลัก JR Nagasaki Station ครับ

โดยแทรมจะเหมือนรถเมล์นั่นก็คือ ให้ขึ้นรถจากกลางตัวรถ และไปลงที่ประตูคนขับ (ประตูหน้า)​ และไปจ่ายค่าโดยสาร หรือ แสดง Tram Pass ให้กับเจ้าหน้าที่ครับเพื่อออกจากแทรมครับ

ย้ำไว้ก่อน ว่าบัตร Suigoca, Suica หรือที่เรียกว่าบัตร IC Card จะไม่สามารถใช้กับรถแทรมได้นะครับ ต้องจ่ายเป็นเงินสดอย่างเดียว หรือไม่ก็ต้องมีบัตรพิเศษสำหรับบริการแทรมโดยเฉพาะ ผมนี่ก็นั่งโง่ตี้ดอยู่ได้ มันเกิด error เลยครับ สงสัยว่าเพื่อนๆต้องซื้อบัตรของแทรมเป็นพิเศษเลย

และเนื่องจากว่า ความเป็นแทรม ก็สำหรับให้คนระแวกแถวนั้นเค้าใช้ครับ พวกคนขับก็เลยจะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยจะได้เลย ต้องระวังว่าเพื่อนๆต้องจ่ายค่าโดยสารให้ครบนะครับ เพื่อให้เค้าไม่ต้องมาระแวงเพื่อนๆอีก ว่าจะแอบจ่ายน้อยกว่าค่าโดยสารหรือเปล่า

สถานีแทรม Nagasakieki-mae

เวลาเดินจากสถานี Nagasaki แล้ว ก็ขึ้นสะพานลอยอันใหญ่ๆ หน้าสถานีได้เลย และลงที่ตรงเกาะกลางถนน ที่จะเป็นสถานี Tram โดยก็จะเหมือนป้ายรถเมล์อันเล็กๆอันนึง ตามภาพครับ

ขอย้ำอีกรอบ ว่าสถานีนี้จะมีรถ Tram อยู่ 2 เส้น แต่ว่าเค้าจะใช้สถานีร่วมกันนะครับ ก็ดูด้วยนะครับ ว่าเค้าไปไหนบ้างอะไรบ้าง

ส่วนผมที่ที่พักอยู่ในเมือง (หรือ Kankodori) ผมเลยต้องนั่งรถแทรมสีฟ้าครับ เวลาสังเกตว่าจะต้องขึ้นอันไหน ก็ดูฝั่งดีๆแล้วกันครับ เพราะทุกอย่างภาษาญี่ปุ่นหมดเลยจริงๆครับ ไม่เหลือความอังกฤษอยู่บ้างเลย

บริเวณป้ายรถแทรมสายสีฟ้า สถานี Nagaskieki-mae

โดยที่พักของผมอยู่ในบริเวณช้อปปี้งของเมือง นั่นก็คือ Kankodori นั่นเอง กดปุ่มให้เค้าจอดก่อนที่จะถึงสถานี Kankodori เพื่อให้เค้าจอดครับ ไม่งั้นเค้าจะไม่จอดรอคนลงเลยครับ บางสถานีคือข้ามไปเลย ไม่ลงก็คือไม่จอด (ไม่เกี่ยวกับมีคนรออยู่ตรงสถานีเพื่อจะขึ้นนะครับ)

ถ้าเพื่อนๆกดแล้ว ตัวหน้าจอก็จะบอกว่าจะจอดสถานีต่อไปให้ครับ ดังนั้นจะรีบกดหรือไม่ก็แล้วแต่เลย แต่เค้าก็จะจอดให้ครับ

แต่หากว่าเพื่อนๆจะต้องเปลี่ยนสาย (ก็คือเปลี่ยนสีนั่นเอง)​ เพื่อนๆสามารถไปบอกคนขับรถไฟแทรม จ่ายเงินค่าขึ้นแทรมเต็มราคา และก็ขอบัตรเปลี่ยนเส้นทางได้ ทำให้เพื่อนๆไปขึ้นอีกอันได้ฟรี เพราะถือว่ายังเป็นทริปเดียวกันอยู่นั่นเอง แต่ส่วนตัวคือไม่ได้ต้องไปเปลี่ยนสายอะไร เพราก็จะใช้สายสีน้ำเงินอย่างเดียว

และผมก็ได้สังเกตเห็นอีกอย่างที่น่าสนใจระหว่างการนั่งแทรมนั่นก็คือ เครื่องนับเหรียญเนี่ยแหละครับ เครื่องนี้ จะทำการหยอดเท่านั้น ซึ่งก็ต้องหมายความว่า เพื่อนๆ จะต้องมีเหรียญเพื่อจ่ายเค้านั่นเอง แล้วเราจะทำยังไงหล่ะ ถ้าไม่มีเหรียญจ่าย มันก็จะมีอีกเครื่องนึงครับ ที่จะทำการแลกธนบัตร 1000 เยนมาเป็นเหรียญเล็กเหรียญน้อยนั่นเอง เช่นกลายมาเป็น 500 เยน หนึ่งเหรียญ เหรียญ 100 เยนอีก 3 เหรียญ ไปเรื่อยๆ ถึงเหรียญ 1 เยนครับ เช่นเดียวกันกับถ้าเพื่อนๆ เอาเหรียญที่มูลค่าใหญ่กว่า มันก็จะทอนมาเป็นเหรียญเล็กกว่านั่นเอง

ค่าโดยสาร พอจะจ่าย เพื่อนๆ ก็แค่โยนเหรียญเข้าไปในกระบวยรับเงิน และเครื่องก็จะนับให้ครับ ว่าจ่ายให้ครบแล้วหรือยัง โดยก็จะมีหน้าจอแสดงอยู่ครับ ว่าจ่ายไปเท่าไหร่แล้ว

และเนื่องจากว่ามันต้องรีบออกจากตัวรถ เพราะมันก็มีคนมารอเราลงด้วย ผมเลยไม่ได้มีโอกาสถ่ายภาพเครื่องนี้ไว้ครับ ผมนี่อยากเอามาไว้ที่ประเทศไทยเหลือเกิน จะได้ไม่ลำบากว่าต้องมีคนขับ กับ คนขายตั๋ว

เอาของไปฝากโรงแรม

สำหรับวันที่ผมท่องเที่ยวในนางะซะกิ ผมก็พักที่ Hotel Forza Nagasaki โดยโรงแรมก็ถือว่าโอเคเลย ห้องค่อยข้างใหญ่สำหรับนอนคนเดียว เพราะเตียงที่ให้มาก็ขนาด Queen Size เลย นอนฟินๆ ไป

เดินจากสถานีแทรมแค่ แค่ !! 20 เมตรครับ

เอ้อออ เดินทางสะบายไปอีก แล้วก็อยู่ในย่านช้อปปิ้งด้วยครับ บางคนอาจจะไม่ค่อยชอบเพราะมันอาจจะเสียงดัง หรือ คนพลุกพล่าน แต่ว่าผมคิดว่ามันก็โอเคนะ เพราะปกติร้านค้าเค้าจะไม่เปิดเพลงอะไรเสียงดังครับ แล้วก็อยากจะกินอะไรก็เดินไปกินเลย มี ร้านแกงกะหรี่ โคโค อยู่ตรงข้ามด้วยครับ ถ้าไม่ถูกใจ พวกร้านอเมริกันอย่างไก่ผู้พัน กับ โดนัลด์ก็มีครับ ส่วนร้านสะดวกซื้อ อันนี้ก็ต้องเดินไปไกลหน่อยหล่ะครับ เพราะแถวนั้นไม่มีเลยซักอันเดียว

ส่วนบรรยากาศภายในห้อง ก็ไปดูตามเว็บไซต์จองที่พักเอาก็แล้วกันครับ ห้องมีความใหญ่อยู่เหมือนกันครับ เหมาะกับอยู่คนเดียว-สองคน จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เบียดด้วย และโรงแรมนี้ก็เพื่ง renovate มาใหม่ๆ ก็เลยจะดูสะอาด และ น่าพักผ่อนอยู่ครับ

บริเวณที่พักของผม สถานี Kankodori ก็จะเห็นว่ามีร้าน Mister Donut และ Starbucks อยู่ครับ เป็นลางเสียตังชัดๆ

เที่ยว Peace Park

หลังจากไปฝากกระเป๋าเดินทางแล้ว มันก็ยังประมาณ 10 โมงอยู่เลยครับ ก็ต้องไปเที่ยวก่อน สิ่งแรกที่ผมคิดถึงสำหรับจังหวัดนี้ก็คือ ระเบิดนิวเคลียร์ครับ ที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ถูกปิดฉากลง วันนี้ผมก็เลยมาเที่ยวบริเวณทีเป็นจุดที่ระเบิดนิวเคลียร์เค้าระเบิดครับ เอาเป็นว่าต้องเดินทางก่อนเนอะ

โดยการเดินทางก็ใช้ Tram ไปที่สวน Peace Park นั่นก็คือการนั่งเหมือนเดิมเลยครับ แต่ก็ย้อนกลับขึ้นไปอีก (ดูจากเส้นทางในแผนที่ด้านบนครับ) โดยลงสถานี Matsuyamamachi นั่นเอง และก็เดินข้ามถนนไปที่ Peace Park ครับ เดินมานิดเดียวเองครับ ผ่านร้าน Family Mart มาซะนิดนึง แล้วก็จะเห็นป้ายตามภาพด้านล่างนี้ครับ

ทางเข้าสวน Peace Park ก็จะเห็นป้ายนี้แหละครับ

จะขึ้นบรรไดเลื่อนไปก็ได้ครับ ขึ้นได้เหมือนกับบันใดครับ ที่ผมเขียนก็เพราะว่ามันน่าตื่นเต้นมากครับ ที่นี่บรรไดเลื่อน เลื่อนแนวนอน แล้วก็ไปเลื่อนแนวทะแยงปกติได้ด้วยครับ แล้วทางขึ้นก็ค่อนข้างชันมาก แนะนำว่าให้ขึ้นเถอะครับ สะบายกว่าเยอะ

น้ำพุ Fountain of Peace 平和の泉

ขึ้นบันไดมาแล้ว เดินตรงมาเรื่อยๆ เพื่อนๆก็จะเห็นน้ำพุตามภาพด้านล่างครับ

as a prayer for the repose of the souls of the many atomic bomb victims who died searching for water, and as a dedication to world peace. — Wikipedia.com

ก็เลยจัดทำน้ำพุเพื่อแสดงความเคารพกับชาวญี่ปุ่นที่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ระเบิดนิวเคลียร์ลงนั่นเอง

และด้านหน้าก็จะเห็นป้ายสีดำ โดยเป็นกาพย์กลอนโดยเขียนโดยเด็กที่ได้อยู่ในวันที่ระเบิดนิวเคลียร์

“I was thirsty beyond endurance. There was something oily on the surface of the water, but I wanted water so badly that I drank it just as it was.” — Sachiko Yamaguchi

ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวของระเบิดนิวเคลียร์มากครับ ถ้าเพื่อนๆมาแล้ว ก็จะได้รู้สึกถึงความเงียบและวังเวงยังไงก็ไม่รู้ครับ

Peace Memorial Statue 平和祈念像

เดินมาเรื่อยๆ จากน้ำพุก็จะเห็น main attraction ครับ เอาจริงๆก็ไปแบบไม่รู้เรื่องหรอกครับ ว่าหมายถึงว่าอะไร แต่ก็สวยดี น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความน่ากลัวของระเบิดนิวเคลียร์ และก็ความขอความสันติครับ ก็ได้ไปเปิด Wikipedia ก็ได้แบบนี้ครับ

The statue’s right hand points to the threat of nuclear weapons while the extended left hand symbolizes eternal peace. The mild face symbolizes divine grace and the gently closed eyes offer a prayer for the repose of the bomb victims’ souls. The folded right leg and extended left leg signify both meditation and the initiative to stand up and rescue the people of the world. The statue represents a mixture of western and eastern art, religion, and ideology — Wikipedia.com

ก็วันที่ไปก็ยังเป็นวันพฤหัสอยู่ เด็กๆ นักเรียนก็ได้มาทัศนศึกษากัน และก็กินข้าวกล่องกันด้วย บรรยากาศดูราบรื่น และเงียบสงบมากครับ วันหลังก็อยากมานั่งดูความเงียบสงบของที่นี่ครับ

สำหรับเพื่อนๆที่อยากมา แนะนำว่าเอาข้าวเที่ยงมาด้วยก็ดีครับ บรรยากาศดีมาก ถึงผมจะมาถึงนี่ก็ล่อไปเที่ยงตรงแล้วก็ตาม

จุดนิวเคลียร์ระเบิด Hypocenter Cenotaph 原子爆弾落下中心地碑

หลอนๆ และน่าสงสารอีกที่นึงบริเวณ Peace Park นั่นก็คือจุดนี้นี่เอง เป็นป้ายที่แสดงถึงความอาลัยกับชาวญี่ปุ่นที่ตายจากแรงระเบิดนิวเคลียร์ครับ

เพื่อนๆก่อนที่จะขึ้นไปดู Peace Park เพื่อนๆจะเลี้ยวซ้ายถูกมั้ยครับ คราวนี้จะเลี้ยวขวาแทน ดูป้ายเอาก็ได้ครับ ว่าอยู่ที่ไหน

At 11:02 A.M., August 9, 1945 an atomic bomb exploded 500 meters above this spot. The black stone monolith marks the hypocenter. About one-third of Nagasaki City was destroyed and 150,000 people killed or injured and it was said at the time that this area would be devoid of vegetation for 75 years. — Wikipedia.com

เด็กนักเรียนประถม มาทำการร้องเพลง ให้กับ “ป้ายวิญญาณ” ของผู้เสียชีวิต

ในภาพก็จะเห็นเหล่าเด็กนักเรียนมาทำการไว้อาลัยครับ ผมก็ไม่กล้าไปอัดวิดีโอเค้า เราก็เลยไปไว้อาลัยกับเค้าอ่ะครับ โค้งกับเค้าด้วย เราก็ไม่รู้หรอกครับว่าเค้าพูดว่าอะไร เราฟังไม่ออก แต่ก็รู้สึกถึงความไว้อาลัยของน้องๆเค้านะ

บริเวณนั้นเป็นบริเวณที่ว่างเปล่า เป็นสวนสาธารณะไปแล้วครับ เราก็เข้าใจว่าเค้าต้องการเก็บสถานที่นี้ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ และก็สถานที่นี้เป็นที่ระเบิดของนิวเคลียร์เลย ทำให้ดินแถวนั้นยกตัวเลยครับ ป้ายโดยรอบก็จะมีเขียนอธิบายครับ ว่าขึ้นมาขนาดไหน เราก็จำไม่ได้ครับ ลืมหมดแล้วครับ

Nagasaki Atomic Bomb Museum 長崎原爆資料館

นอกจากรูปปั้นในเมือง Nagasaki แล้ว ก็มี Atomic Museum นี่แหละครับที่น่าสนใจ โดยก็อยู่แถวๆ Peace Park นี่แหละครับ เดินเข้าไปหน่อย แต่ก็น่าสนใจหลายๆเรื่องเลครับ

ถ้าใครไปไม่เป็นก็ Google เอาครับ https://goo.gl/maps/ja1aayD93UB2

แนะนำว่าให้ไปดูเองนะครับ ค่าเข้าคนละ 200 เยนเอง เค้าอยากให้หลายๆคนมาดูครับโดยภายในก็มีการ Presentation เรื่องได้อย่างดี อย่างเช่นภาพด้านล่าง

เป็นห้องโถงใหญ่ ที่เราต้องเดินลงไปเพื่อไปสู่พิพิธภัณฑ์ของเค้า โดยตามผนังก็มีการเขียนปี เพื่อให้เพื่อนๆเห็นว่ากำลังย้อนเวลาลงไปสู่วันที่เกิดเหตุระเบิดนั่นเอง

นาฬิกาข้างผนังที่เวลาหยุดเมื่อเกิดเหตุระเบิด 11 นาฬิกา 2 นาที

ภายในก็มีการจัดแสดงข้าวของในสมันนั้น ที่ถูกแรงระเบิดทำลาย ก็จะเห็นถึงว่ามันถูกไหม้ไปเยอะเหมือนกัน

แผนที่แสดงถึงแรงระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์

ทางออกของพิพิธภัณฑ์

เพื่อนๆบางคนอาจจะดูว่าที่นี่น่าเบื่ออยู่เหมือนกัน แต่ก็มาเถอะครับ เพราะว่าไม่มีที่ไหนแล้วที่แสดงถึงความสงบ และผลกระทบของระเบิดนิวเคลียร์ได้เท่าที่นี่แล้ว และภายในก็มีของที่ถูกเก็บมาจากการระเบิดนี้จริงๆ หากเพื่อนเป็นแนวอยากมารู้ประวัติของระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองนี้ ผมนี่แนะนำเลยครับ

เที่ยว Nagasaki China Town

โดยก็จะอยู่ในแหล่งช้อปปี้งอย่าง Kankodori นั่นเอง เพื่อนๆก็นั่ง Tram มาลงได้เลย โดยจะอยู่อีกฝั่งนึงของแหล่งช้อปปี้งครับ

ซุ้มประตูทางเข้า China Town

เนื่องจากว่า Nagasaki เป็นเมืองท่าครับ และแอบค้าขายเมื่อญี่ปุ่นปิดประเทศไป โดยค้าขายกับชาว Netherlands และจีนครับ ทำให้ที่นี่ยังมีชาวจีนอยู่เยอะเหมือนกัน เพราะก็ได้ตั้งรกรากและมีทรัพย์สินอยู่เยอะแยะครับ

ผมก็กลับไปเสริจหาตามเว็บ เค้าบอกว่ามาตอนกลางคืนก็จะสวยไปอีกอย่างครับ แล้วถ้ามาตอนงานโคมไฟหน้าร้อน ก็จะสวยไปอีก เพื่อนๆที่จะมาตามจากโรงแรมที่ผมพัก ก็เดินตรงๆ มาเลยครับ โคตรใกล้

สำหรับการเดินทางวันแรก ผมก็หมดเพียงเท่านี้ เพราะผมซื้อกล้องมาแล้วไม่ได้ซื้อแบตเตอรี่มาด้วย เลยต้องไปหาทั้งปลั้กแปลง แล้วก็แบตเตอรี่อีก ก็เดินไปที่ช้อปปิ้งนั่นแหละครับ ขายทุกอย่างจริงๆ

อยากให้เพื่อนๆลองมาดูนะครับ เหมือนเมืองเล็กๆ ที่มีทุกอย่าง แต่ก็ยังอยู่ในความสงบเงียบจริงๆ

สำหรับวันที่ 2 ของการไปเที่ยวนางะซะกิ ก็รอติดตามก็แล้วกันครับ โดยการกด ‘Follow’ และก็เพื่อนๆ ชอบการรีวิวแบบนี้ก็อย่าลืมกดปรบมือให้ผมด้วย เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมนะครับ